วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552

ปัสสาวะเล็ด ปัญหาสตรีที่แก้ได้

ปัสสาวะเล็ด ปัญหาสตรีที่แก้ได้


วิจัยพบหญิงไทยวัยหมดประจำเดือนกว่าร้อยละ 80 ประสบปัญหาปัสสาวะเล็ด หลายคนอายไม่ยอมรักษา ถึงขั้นเก็บตัว ไม่ออกจากบ้าน เผยสาเหตุมาจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนสมรรถภาพจากการคลอดบุตร แนะ "ขมิบ" อย่างถูกวิธีทุกวัน เพื่อป้องกันก่อนสายเกินแก้ แถมยังช่วยให้เพศสัมพันธ์ดีขึ้นด้วย

รศ.กรกฏ เห็นแสงวิไล หัวหน้าโครงการวิจัย เรื่อง "สร้างเสริมสุขภาพบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานในสตรีด้วยตนเอง" โดยการสนับสนุนของแผนเปิดรับทั่วไป สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า ปัญหากล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนสมรรถภาพ ถือเป็นเรื่องที่พบในสตรีทั่วโลก โดยเฉพาะในวัยหมดประจำเดือน เช่น ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า พบว่าสตรีวัยหมดประจำเดือนร้อยละ 75.3 มีปัญหาการกลั้นปัสสาวะ ขณะที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พบว่า สตรีวัยหมดประจำเดือนร้อยละ 89.3 มีปัญหาเดียวกัน และร้อยละ 43.3 มีภาวะมดลูกหย่อนด้วย นอกจากนี้จากการสำรวจสตรีไทยในภาคเหนือตอนบน ช่วงปี 2542-2543 ยังพบว่าผู้หญิงช่วงอายุ 20-24 ปี พบปัญหากลั้นปัสสาวะถึงร้อยละ 41 และวัยหมดประจำเดือนอีกร้อยละ 48


ปัญหาที่ตามมาคืออาการปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ มดลูกหย่อน และเพศสัมพันธ์บกพร่อง เนื่องจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่อ่อนแรงและหย่อนลงมาจะทำให้ช่องคลอดขาดประสิทธิภาพ ไม่สามารถหดตัวได้ขณะมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังผายลมบ่อยผิดปกติ

"คนไทยส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ในเรื่องการกลั้นปัสสาวะ ส่วนมากคิดว่าเป็นเรื่องของคนสูงอายุ หรือบางคนรู้สึกอาย กลัวสังคมรังเกียจ จึงไม่มารับการรักษา และพยายามแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง เช่น ดื่มน้ำน้อยลง เข้าห้องน้ำบ่อยๆ ใส่ผ้าอนามัย หรือในรายที่มีอาการฉี่เล็ดมากๆ อาจถึงขั้นเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ยอมออกจากบ้าน" รศ.กรกฏกล่าว
สำหรับสาเหตุของอุ้งเชิงกรานหย่อนสมรรถภาพนั้นมาจากหลายปัจจัย อาทิ การตั้งครรภ์และการคลอด การตั้งครรภ์จะทำให้มีการยืดขยายของกล้ามเนื้อและพังผืดรอบอุ้งเชิงกราน ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ ส่วนการคลอดเป็นการกระทำโดยตรงต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน คือมีการกรีดฝีเย็บ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง นอกจากนี้ในผู้สูงอายุ สตรีวัยหมดประจำเดือน คนอ้วน คนใช้แรงงานยกของหนัก ก็เกิดภาวะกล้ามเนื้อหย่อนยานได้ง่าย รวมไปถึงโรคเรื้อรัง เช่น ถุงลมโป่งพอง ไอเรื้อรัง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กล้ามเนื้องอก ล้วนก่อเกิดอาการปัสสาวะเล็ดได้
รศ.กรกฏกล่าวต่อว่า ในการวิจัยได้เสนอวิธีการให้ความรู้และสร้างเสริมสุขภาพสตรีเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน สตรีที่เริ่มมีอาการปัสสาวะเล็ด และสตรีมีครรภ์ โดยแนะนำการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอย่างถูกต้องด้วยตนเอง ด้วยการใช้สื่อวีดิทัศน์ที่ผลิตขึ้นอย่างมีคุณภาพ แล้วใช้แบบ สอบถาม วัดผลสัมฤทธิ์ในสตรีวัย 40-60 ปี ประมาณ 60 คน ในจังหวัดเชียงใหม่และพิษณุโลก เพื่อเปรียบเทียบการเรียนรู้ด้วยตนเองก่อนและหลังการใช้วีดิทัศน์ และศึกษาในสตรีที่เริ่มมีอาการปัสสาวะเล็ดจำนวน 30 คน เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมและสตรีมีครรภ์จำนวน 30 คน
"ผลออกมาว่ากลุ่มทดลองมีความรู้เกี่ยวกับอุ้งเชิงกรานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน และยังฝึกขมิบอุ้งเชิงกรานอย่างถูกวิธีต่อเนื่องถึง 12 สัปดาห์ ทำให้คนที่เคยมีปัญหาปัสสาวะเล็ดบ่อยๆ ลดความรุนแรงของอาการลง กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแข็งแรงและกระชับตัว ส่งผลต่อการมีเพศสัมพันธ์ที่ดีขึ้น ผู้เข้าร่วมทดลองหลายคนเล่าว่าได้รับคำชมจากสามีในเรื่องนี้" หัวหน้าโครงการวิจัยกล่าว
ส่วนการทดสอบสมรรถภาพกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานด้วยตนเองนั้น รศ.กรกฏแนะนำว่าทำได้โดยการดื่มน้ำ 2 แก้ว แล้วรอประมาณ 10-15 นาที จนรู้สึกปวดปัสสาวะ ให้กระโดดพร้อมกันจนสองเท้าลอยพ้นพื้นติดต่อกัน 20 ครั้ง จากนั้นกระโดดกางขาหน้า-หลัง 4 ครั้ง และไอแรงๆ อีก 2-3 ครั้ง สังเกตว่ามีปัสสาวะเล็ดหรือไม่ เพราะในคนปกติกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานควรควบคุมได้ ไม่มีอาการปัสสาวะเล็ด
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดอาการปัสสาวะเล็ดหรือไม่ วิธีการป้องกันและบรรเทาอาการของโรคทำได้โดยการขมิบอุ้งเชิงกรานแรงๆ ค้างไว้ 10 วินาที แล้วปล่อยประมาณ 5 วินาที ทำซ้ำอีกจนครบ 5 ครั้ง แล้วขมิบ-ปล่อยแบบแรงเต็มที่อีก 5 ครั้ง วันหนึ่งๆ ควรทำอย่างน้อย 4-5 ครั้ง ในช่วงเช้า สาย บ่าย เย็น และก่อนนอน โดยต้องฝึกขมิบในขณะที่ทำกิจวัตรประจำวัน เช่น นั่ง ยืน เดิน จาม จนกลายเป็นนิสัย จะส่งผลดีต่อสตรีในระยะยาว
ด้าน น.พ.ชาตรี เจริญศิริ กรรมการบริหารแผนเปิดรับทั่วไป สสส. กล่าวว่า โครงการวิจัยเรื่องสร้างเสริมสุขภาพบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานในสตรีด้วยตนเอง เป็นงานวิจัยเชิงนวัตกรรมที่หยิบเอาผลการวิจัยหรือผลสำรวจของต่างประเทศมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับประเทศไทย และยังคิดค้นวิธีการสอนให้หญิงไทยรู้จักขมิบอุ้งเชิงกรานอย่างถูกวิธีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านสื่อวีดิทัศน์ และการฝึกอบรม ช่วยแก้ไขปัญหาของสตรีจำนวนมากที่ประสบปัญหาเรื้อรังมานาน
"เป็นที่น่ายินดีที่ระยะหลังงานวิจัยของสสส.ไม่ได้ทำในลักษณะขึ้นหิ้ง แต่มีการจัดการให้ใช้ผลงานวิจัยนั้นๆ มีคนหยิบยกมาทำต่อ สาธิตให้เห็นถึงทางออกของปัญหา เสน่ห์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในระยะหลังคืองานวิจัยก่อให้เกิดความผูกพันระหว่างนักวิจัยกับชุมชน โดยจะพบว่างานวิจัยหลายชิ้นเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน ดึงชาวบ้านเข้ามาเป็นนักวิจัย ขณะที่นักวิชาการเป็นเพียงพี่เลี้ยง หรือบางชิ้นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เป็นคนในพื้นที่เข้าไปทำกับชุมชนของตนเอง ทำให้งานวิจัยนั้นเกิดความยั่งยืนแม้จะสิ้นสุดโครงการไปแล้ว นับเป็นการจุดตะเกียงช่วยส่องสว่างในที่มืด แม้จะยังไม่ทั่วถึงทุกพื้นที่ทุกชุมชนก็ตาม" น.พ.ชาตรีกล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น